ยินดีต้อนรับสู่ PLANB-TRADER แหล่งรวบรวมปัญญา บทความ ความรู้ จากแหล่งต่าง ๆ ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Money Management





เคยมีคำกล่าวว่าหากคุณมีระบบเทรดที่ดีมาก ๆ มีอัตราความแม่นยำสูงมาก ๆ เพียงใด แต่หากปราศจากการจัดการการเงิน หรือ มี Money Management ที่ดีแล้วนั้น พอร์ตคุณก็จะไม่สามารถเติบโต หรืออยู่รอดในตลาดได้แน่นอน คำกล่าวนี้มีความสำคัญอย่างมากครับ เพราะเรื่อง Money Management นี้เป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนมักจะมองข้าม และทำให้เกิดการ Over Trade นั่นเอง วันนี้เลยขอแชร์บทความดี ๆ นี้ให้เพื่อน ๆ ทุกคนได้ฉุกคิดกันแล้วกันครับ ไปอ่านกันได้เลย เครดิตบทความอยู่ด้านล่างครับ ขอบคุณ

Money Management การสร้างMoney management แบบความเสี่ยงต่ำ

อะไรคือ Money Management?

Money Management คือการจัดการกับเงินในพอร์ตไว้เป็นสัดเป็นส่วน ซึ่งช่วยเราจัดการและแก้ปัญหาที่ จะเกิดขึ้นเกิดกับเงินในพอร์ตของเราได้ โดยทั่วไปแล้ว Money Management จะใช้คู่กับระบบที่เราสร้างหรือเงื่อนไขในการเข้าออกต่างๆเพื่อให้มีความ เสถียรมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วจุดดีของการสร้าง Money Management ขึ้นมาละ? แน่นอนว่ามีแน่นอน เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้นักลงทุนอย่าง พวกเราหรือแม้กระทั่งรายใหญ่ประสบความสำเร็จในการเทรด งั้นก็แปลว่า  Money Management สำคัญล่ะซิ พูดได้คำเดียวว่า  “Absolutely”

ความสำคัญของ Money Management

เรา มาเข้าใจ Concept ของการสร้าง Money Management กันดีกว่า จุดประสงค์หลักๆของการสร้าง Money Management ก็คือการป้องกันความเสียหายที่เกิดจากจุดบอดของระบบเทรดเรา หรือแปลคำสั้นๆภาษาชาวบ้านว่า การแบ่งเงินที่สามารถเสียหายได้ โดยที่เราไม่ทุกข์ร้อนใจ ทำไมถึงสำคัญล่ะ เพราะว่าการที่เราไม่มีการจัดการเรื่อง การเงินในพอร์ตของเราที่ดีนั้นอาจนำพาหายนะมาสู่พอร์ตของนักลงทุน เปรียบเสมือนว่าไม่มีจุดยืน ไร้เป้าหมาย ไร้อนาคต เทรดไปวันๆ โดยไม่มีความฝัน อะไรประมาณนี้ และเมื่อเราไร้จุดหมายความฝันลมๆแล้งๆ ก็ยากจะเป็นจริง แต่ถ้าเราเตรียม Money Management มาดีแล้วมี Balance กับระบบเทรดของเราแล้วล่ะก็ ความฝันก็มีโอกาสเป็นจริงได้

เมื่อเรา เริ่มเข้าใจ Concept มันแล้ว เราจะมาดูกันว่ามันดีขนาดนั้นเลยหรือ สมมุติว่า สมชายมีเป้าหมายในชีวิตว่าอยากจะเป็น เจ้าแห่งการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเขาตั้งเป้าหมายว่าจะมีเงิน สิบล้านภายในสี่ปี และเลี้ยงดูตัวเองได้ เขาจะพยายามอัด Lot เยอะๆในส่วนที่เขามั่นใจ ส่วนอีกคน สมศรี แม่ค้าส้มตำอันดับหนึ่ง ตั้งเป้าว่าจะทำกำไรจากตลาดการเงินอย่างน้อย สิบล้านเหมือนสมชาย ภายในสี่ปี โดยตั้งเป้าว่าปีแรกจะทำกำไรให้ได้ 10%-20% แล้วค่อยๆเพิ่มเมื่อเริ่มอยู่ตัว เธอแบ่งสัดส่วนเงินในการลงทุนว่า เธอสามารถเสียเงินเพียงแค่ 10% ของ Balance แล้วจะใช้ Lot ตามจำนวนที่คิดไว้ซึ่งจะไม่ส่งผลกับพอร์ตมากนัก เราลองมาคิดดูว่าถ้าระบบการเทรดของทั้งสองคนคือ 85% เหมือนกัน ในระยะยาวใครจะเป็นผู้ที่ทำกำไรได้มากกว่ากัน นี้ถือว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจมากเลยทีเดียวเพราะคนนึงพยายาม ทำกำไรเยอะๆ ส่วนอีกคนค่อยๆทำกำไรเท่าที่สามารถทำได้ คำตอบนั้นคงจะรู้อยู่แล้วนะครับว่าคือสมศรี แม่ค้าส้มตำผู้นี้เป็นผู้ที่ทำกำไรได้มากกว่าในระยะยาว เหตุผลคือระบบไม่มีทางที่จะชนะได้ 100% เพราะหลายๆปัจจัย  ถ้าสมชายยังคงอัด Lot แบบ Maximum แล้วละก็ในระยะยาวเทรด 100 ครั้ง อย่างน้อยโดนแค่ครั้งเดียว อาจถึงกับหมดพอรต์เลยก็ได้ เพราะเขาไม่รู้จักความพอดีและพอใจ แล้วทำไมระบบของสมศรีถึงป้องกันความเสี่ยง?

ทำไม Money Management มันจึงป้องกันความเสี่ยง?

จาก ที่กล่าวข้างต้นระบบของสมศรีเป็นระบบที่ค่อนข้างปลอดภัยในระยะยาวเพราะต่อ ให้ขาดทุนสิบครั้งต่อกันเงินก็ไม่มีวันหมดสมมุติว่าสมศรีมีเงินทุน 1000 $ เสียไป10% เท่ากับ 100$ ทำให้เงินทุนเหลือ 900$ สมศรีมุ่งมั่นมากเทรดครั้งที่สองก็ขาดทุนไป อีก 10 percent เท่ากับว่าขาดทุน 90$ แต่อย่างไรก็ตาม ระบบของสมศรีเป็นแค่ระบบสมมุติขึ้นมา ทั้งนี้ทั้งนั้น คงต้องปรับให้เข้ากับระบบการเทรดของตัวนักลงทุนเองด้วย แล้วมันจะได้ผลในระยะยาวจริงหรอ?

Money Management ช่วยทำให้ได้กำไรเรื่อยๆในระยะยาวจริงหรอ?

ถ้า ระบบเทรดเราดีพอที่จะมีโอกาสสูงกว่าแพ้ บวกกับ Money Management ที่ดีมันก็จะส่งผลไปในทางที่ดีด้วยเช่นกัน ลองมาคิดดูกันดีกว่า สมมุติมีเงินทุน 100 บาท ยอมเสียสูงสุดได้แค่ 10 บาทเท่านั้นในแต่ละครั้ง แล้วระบบเทรดเรามีโอกาสชนะ 70 Percent แปลว่าเทรด 100 ครั้ง ได้ 70 ครั้ง สมมุติเงื่อนไขเราคือทำกำไรแบบ 1:1 หมายถึงว่าเรายอมขาดทุน 10 บาทแต่ยอมทำกำไรแค่เพียง 10บาทด้วย คิดตามนะครับ ถ้าเราเทรด 100ครั้ง จริงๆ เราจะได้กำไร 700 บาท จากการเทรด 100 ครั้ง และขาดทุน 300 บาท จากการเทรด 100ครั้ง สรุปว่าเทรด 100 ครั้งเรา จะได้เงิน400 บาทโดยประมาณ แล้วถ้าเราเทรด 1000ครั้งละ ก็จะเท่ากับกำไร 4000บาทนั่นเอง

วิธีการทำ Money Management ที่มีความเสี่ยงน้อย

ข้อหนึ่ง เราต้องดูระบบเราว่ามีความเสี่ยงมากเท่าไร อาจจะย้อนกลับไปดู Back Test ก็ได้ถ้าระบบความเสี่ยงประมาณ 40 percent แนะนำว่าทำระบบให้เหลือความเสี่ยงที่จะขาดทุนเพียงแค่ 20% ให้ได้ก่อน อาจจะลองเทสกับ ระบบDEMO ซักครึ่งปี

ข้อสอง เราต้องดูว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหนเพราะแต่ละคนมีจุดรับความ เสี่ยงไม่เท่ากัน บางคนเสีย 10%ก็ใจเต้นละ แล้วอาจจะกระทบถึงจิตใจในตอนหลังอีกด้วย ถ้ารู้ตัวว่ารับไม่ได้ก็ลดลงมาเหลือ 5% ก็จะทำให้ใจนิ่งสงบลงได้

ข้อที่สาม นำระบบและ Money Management ไปBack Test ดูว่ามันสามารถทำได้จริงหรือป่าว

ข้อสี่ กำหนดเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง ระยะใหญ่ เพื่อให้มีแรงผลักดันไปถึงจุดหมาย ข้อควรระวังอย่าพยายามตั้งเป้าหมายสูงจนเกินไปจนทำให้ตัวเองลำบาก เพราะจะมีผลในการเทรดระยะยาว และการตัดสินใจ สมมุติว่า เราต้องการทำกำไรให้ถึงจุดตรงนี้ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน พอจะปิดเดือนยังทำตามเป้าหมายไม่ได้ อาจจะเกิดการ Over Trade  เกิดขึ้นได้ คำแนะนำคือควรตั้งเป้าหมาย Minimum และ Maximum ทำเป็น Normal Case และ Best Case.

ข้อห้า ตั้งจำนวนLot ที่แน่นอนที่สามารถเปิดค้างทิ้งไว้ได้เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการ Over Trade ในอนาคต
จุดประสงค์สำคัญหลัก
เพื่อการทำกำไรอย่างต่อเนื่องโดยและมีวินัยและจะสะท้อนผลลัพธ์ที่ดีออกมาในอนาคต

credit: https://www.facebook.com/ForexInvestmentThailand

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

กุญแจสู่สุดยอดเทรดเดอร์


 ตลาดช่วงนี้ค่อนข้างเลวร้ายหน่อย หลายต่อหลายคนคงเจอภาวะโลกหมุนเหมือนโดนต่อย ต้องยอมรับที่ผ่านมาตลาดผันผวนมาก ขาดทุนมากน้อยแล้วแต่การเทรดของแต่ละคน อารมณ์ช่วงนี้หากใครกำลังน้อยใจ กำลังเสียใจ อยากบอกไว้เลยว่าเส้นทางการเป็นเทรดเดอร์นั้นมันไม่ได้หอมหวาน ต้องยอมรับเรื่องการขาดทุนให้เป็นตลอดเส้นทางจะต้องเจอขาดทุนอยู่ทุกครั้งไป เปรียบเสมือนเงาตามตัว มีกำไร มีขาดทุน แต่ที่สำคัญ "ขาดทุนได้ แต่ที่สำคัญอย่าขาดกำลังใจ" ผมไปเจอบทความดี ๆ มาเลยขออนุญาติแชร์ครับ เครดิตด้านล่างเลย ลองอ่านกันดูเผื่อจะมีกำลังใจอะไรบ้าง

เราอาจจะเคยได้ยินคำกล่าวมาบ้างว่า ในการลงทุนนั้นไม่จำเป็นที่ เราจะต้องมีความแม่นยำ แล้วเราจะได้กำไร แต่หัวใจของการลงทุนกลับอยู่ที่ทักษะในการบริหารเงินทุน

    การบริหารเงินนั้นถูกจัดว่าเป็นศาสตร์สุดยอดในการเทรด จนเคยมีคำกล่าวว่า ปัจจัยที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการเป็นสุดยอดเทรดเดอร์ นั้นขึ้นอยู่กับ..........

1 ระบบหรือเทคนิค ที่เราใช้ในการเทรดเพียง 10%

2 ศาสตร์ของการบริหารเงิน 30%

3 ระเบียบวินัยในการลงทุนถึง 60%

 แม้ แต่นักพนันมืออาชีพ ที่สร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ก็ล้วนใช้กลยุทธ์ในการบริหารหน้าตักทั้งสิ้น เคยมีศาสตราจารย์ดอกเตอร์ทางคณิตศาสตร์ท่านหนึ่ง ใช้วิธีการของศาสตร์นี้ในการทดลองไปเสี่ยงโชคในคาสิโน ผลลัพธ์ออกมาน่าประหลาดใจมาก พบว่าศาสตร์ท่านเดิมได้ปรับเปลี่ยนวิธีการดังกล่าวเพื่อจะนำมาใช้ในตลาดหุ้น ค่าเงินและออปชั่น ก็พบว่าผลลัพธ์นั้นไม่แตกต่างกันเลย จากเรื่องราวดังกล่าวที่ยกมานี้ ทำให้เราพอจะเชื่อได้ว่า เรื่องของการบริการนั้นมีความสำคัญอย่างมากและมากที่สุดเมื่อเราคิดจะลงทุน



    ต่อไปนี้จะเป็นสถานการณ์สมมติ ที่จะทำให้ท่านเห็นภาพของผลลัพธ์ต่างๆ ที่อาจเกิดจากการลงทุน

ถ้าหากเรามีเงินทุนอยู่ 100 บาท เราทำการเทรดทั้งหมด 10 ครั้ง

         กำไร 7 ครั้ง ครั้งละ 10 บาท =เราได้กำไรทั้งหมด  70 บาท

         ขาดทุน 3 ครั้ง ครั้งละ 10 บาท = เราขาดทุน 30 บาท

สุทธิเราจะมีกำไรจากการเทรด 10 ครั้ง อยู่ที่ 40 บาท



ถ้าหากเรามีเงินทุนอยู่ 100 บาท เราทำการเทรดทั้งหมด 10 ครั้ง

         กำไร 5 ครั้ง ครั้งละ 10 บาท =เราได้กำไรทั้งหมด  50 บาท

         ขาดทุน 5 ครั้ง ครั้งละ 5 บาท = เราขาดทุน 25 บาท

สุทธิเราจะมีกำไรจากการเทรด 10 ครั้ง อยู่ที่ 25 บาท



ถ้าหากเรามีเงินทุนอยู่ 100 บาท เราทำการเทรดทั้งหมด 10 ครั้ง

         กำไร 3 ครั้ง ครั้งละ 15 บาท =เราได้กำไรทั้งหมด  45 บาท

         ขาดทุน 5 ครั้ง ครั้งละ 5 บาท = เราขาดทุน 25 บาท

สุทธิเราจะมีกำไรจากการเทรด 10 ครั้ง อยู่ที่ 20 บาท





ถ้าหากเรามีเงินทุนอยู่ 100 บาท เราทำการเทรดทั้งหมด 10 ครั้ง

         กำไร 8 ครั้ง ครั้งละ 5 บาท =เราได้กำไรทั้งหมด  40 บาท

         ขาดทุน 2 ครั้ง ครั้งละ 20 บาท = เราขาดทุน 40 บาท

สุทธิเราจะมีกำไรจากการเทรด 10 ครั้ง อยู่ที่ 0 บาท



สังเกต ได้ว่า เรื่องบริหารการขาดทุน/กำไรนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ จากตัวอย่างทั้งหมด พอสรุปประเด็นสำคัญ สำหรับ การเทรดดังต่อไปนี้

    1 Win/Loss Ratio

คือ การเทรด 100 ครั้ง เราชนะกี่ครั้ง เราแพ้กี่ครั้ง เรื่องนี้สำคัญมากๆ โดยทั้วไประบบที่ชนะบ่อยๆ ถ้าเทียบกับนักมวย คือมวยสายตาดีออกหมัดได้อย่างแม่นยำเข้าเป้า แต่เรายังไม่ได้พูดถึงความแรงของหมัดนั้น



    2 Reward/Risk

คือ ในการเทรดแต่ละครั้ง เราต้องการจะได้รับผลตอบแทนเท่าไหร่ หากการเทรดครั้งนั้นประสบความสำเร็จ และในทางกลับกัน เราจะต้องคำนึงด้วยว่าจะต้องขาดทุนเท่าไหร่ หาดการเทรดครั้งนั้นมีความผิดพลาดเกิดขึ้น สถานการณ์เปลี่ยน ไม่ไปตามที่เราคาดการณ์

เมื่อหมัดเข้าเป้าหม่าย Reward

- การคาดหวังผลตอบแทนน้อย เหมือนการปล่อยหมัดแย๊บออกไป เก็บคะแนน

- การคาดหวังผลตอบแทนสูงๆ เหมือนกับการปล่อยหมัดที่หนักเพื่อหวังน๊อคคู่ต่อสู้ลงไปเลย

เมื่อหมัดไม่เข้าเป้า เราโดนสวนกลับ Risk

-การตั้งจุดตัดขาดทุน (Cut Loss) น้อยๆ = การตั้งการ์ดแบบรัดกุม คู้ต่อสู้ก็จะรู้สึกต่อยเข้ามาหาเราได้อย่างลำบาก

-การที่เราตั้งจุดตัดขาดทุน (Cut Loss) มากหน่อย = เหมือนการคลายการ์ด ตั้งแบบหลวมๆ แบบนี้ก็อาจโดนหมัดสวนเข้ามาได้

-การไม่ตั้งจุดตัดขาดทุน(Cut Loss) เลย = เท่ากับเราไม่มีการตั้งการ์ดเลย อาจโดนต่อยร่วงลงไปนับไม่ก็น๊อคไปเลย



3.ผสมผสาน เพื่อความสำเร็จ

-การ ที่เราคาดหวังผลกำไรน้อย ๆ แต่มีความแม่นยำสูง "สมรักษ์ คำสิงห์" ที่หมัดไม่หนักแต่ก็ต่อยเข้าเป้าอย่างต่อเนื่อง ค่อย ๆ เก็บคะแนนไปเรื่อย ๆ เทรดเดอร์แนวนี้จะเน้นความแม่นยำในการเทรดสูง โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องปล่อยหมัดหนักเข้าใส่คู่ต่อสู้ อาศัยเพียงแค่ชั้นเชิงในการหลบหลีก

แล้วต่อยเก็บคะแนนไปเรื่อย ๆ ก็สามารถจะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จได้

-การ ที่เราคาดหวังผลกำไรมาก ๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องแม่นยำมาก "เขาทราย กาแลคซี่" ไม่จำเป็นต้องต่อยมาก แต่พอต่อยโดนคู่ต่อสู้ก็ออกอาการทันที เหมือนเทรดเดอร์ที่ไม่จำเป็นต้องมีความแม่นยำในการเทรดสูงมากนัก แต่เมื่อเทรดได้กำไร ... ก็เอากำไรครั้งละมาก ๆ เปรียบเสมือน Let Profit Run คือเมื่อได้กำไร ก็ปล่อยให้กำไรวิ่งไปเรื่อย ๆ

-กำไรมาก ๆ และเทรดแม่นยำ "แมนนี่ ปาเกียว" ทั้งต่อยคม แม่นยำ และหนักหน่วงระบบการเทรดแบบนี้แทบจะเป็นอุดมคติเลยก็ว่าได้

ไม่ ว่าเราจะเป็นเทรดเดอร์แบบใดก็ตาม เราก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ แต่เราต้องเข้าใจลักษณะระบบการเทรดของเรา และเรื่อง Reward/Risk ให้ดี เพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจว่าสถานการณ์ใดที่เราควรเข้าเทรดหรือควร หลีกเลี่ยง   ขอบคุณเป็นอย่างสูง  The Secret สู่พลังแห่งการเทรด

Credit : Duthy Thaiforexschool
Website : Thaiforexschool.com